Quantcast
Channel: ZEN HYDROPONICS
Viewing all 120 articles
Browse latest View live

กวางตุ้งก้านม่วง (Purple Choy Sum)

$
0
0


ทางเซนฯ ทดลองปลูกกวางตุ้งก้านม่วง ในระบบ DRFT อายุปลูก 40 วัน เป็นผักที่เจริญโตเร็วมาก
ทดต่ออากาศร้อนได้ดีมาก (ทดลองปลูกช่วงเดือนเมษายน 2563) ค่า EC 1.5 - 1.8 ms/cm
































ผักสลัด ฟิลเลย์ ไอซ์เบริกส์ (Frillice Iceberg Lettuce)

$
0
0

 


ตัวอย่างการกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัด ฟิลเลย์ ไอซ์เบริกส์ (ในพื้นที่อากาศร้อน)

1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 7 วัน เริ่มให้ปุ๋ยอ่อนๆ โดยให้ค่า EC ประมาณ 1.0 - 1.2 ms/cm


2. เมื่อครบกำหนด 10 - 14 วัน หรือต้นเกล้าเริ่มมีใบจริงประมาณ 2 - 3 ใบ ก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้เลย โดยกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ms/cm


3. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 15 - 25 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.1 - 1.2 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)


4. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 26 - 30  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)


6. เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 31 - 35  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง


7.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 36 - 45  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 0.8 - 1.0 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง


8.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 45 - 60  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ต่ำกว่า 0.5 ms/cm 
หรือจะใช้น้ำเปล่าเลี้ยงประมาณ 3 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวก็ได้ครับ

ข้อแนะนำในการปลูก

1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 2 - 3 วัน แนะนำให้นำต้นเกล้าได้รับแสงแดดตอนเช้าหรือเย็นประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ต้นเกล้าไม่ยืดและแข็งแรงมากขึ้น

2. ในพื้นที่อากาศร้อนเมื่อผักสลัดมีอายุปลูกได้ประมาณ 20 วัน มักมีอาการขอบใบไหม้ แนะนำให้ปรับค่า EC ให้ต่ำและให้ลดการคายน้ำทางใบของพืชลง ด้วยการพลางแสง หรือเสปรย์น้ำเพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นในอากาศ และควรมีการฉีดพ่น ธาตุแคลเซียม-โบรอน เสริมทางใบเพื่อป้องกันอาการขอบใบไหม้

3. ศัตรูพืชที่สำคัญของ ผักสลัด คือ เพลี้ยไฟ และหนอนใยผัก แนะนำให้ฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อป้องกัน และกำจัด ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีจำกัดศัตรูพืช เนื่องจากสลัดเป็นพืชอายุสั้นและต้องบริโภคส่วนที่เป็นใบจึงอาจเป็นอัตรายต่อผู้บริโภคได้

4. การปลูกสลัดแนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมธาตุอาหารใหม่ในช่วงที่ผัก อายุได้ 28 วัน (หรืออายุผัก 4 สัปดาห์) โดยลดปริมาณการใช้ปุ๋ย A,B ลงทุกๆ ช่วงอายุปลูก ข้อดีของการลดการปลูกสลัดโดยใช้ EC สูง ไปหาต่ำมีข้อดีคือ
4.1 ประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้ธาตุอาหาร
4.2 เพื่อป้องกันการเกิด Tip burn โดยเฉพาะผักที่เกิดอาการดังกล่าวได้ง่ายเช่น ผักในกลุ่มคอส, บัตเตอร์เฮด และผักกาดแก้ว
4.3 ช่วยให้ผักเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
4.4 ทำให้ผักสลัดที่ปลูกไม่มีรสขม หรือมีความขมลดลงในช่วงฤดูร้อน 

5.แนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมปุ๋ยใหม่เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 25 วัน

หมายเหตุ  ผักสลัดเป็นพืชทานใบที่มีอายุปลูกสั้น การใช้ปุ๋ยในระดับสูงเกิน 1.5 ms/cm หลังจากผักอายุได้ 30 วันไม่ได้เกิดประโยชน์ใดกับผักสลัดเลย กลับทำให้ผักมีอาการขาดธาตุแคลเซียม (Tipburn) มากขึ้นเพราะเพื่อความเข้มข้นของธาตุอาหารในระบบมีสูงเกินไป  ช่วงเวลาที่ผักสลัดสะสมอาหารมากที่สุดคือช่วงที่ผักมีอายุได้ประมาณ 10 - 30 วันแรก ซึ่งหลังอายุ 30 วันไปแล้วผักสลัดจะใช้ปุ๋ยน้อยลง ส่วนที่ผักสลัดต้องการมากที่สุดคือ น้ำ


เสจ (Common Sage)

เคล แดซลิ่งบลู (Dazzling Blue Kale)

กะหล่ำดอกโรแมเนสโก้ (Romanesco Cauliflower)

$
0
0


กะหล่ำดอกโรมาเนสโก สามารถนำส่วนของดอกสีเขียวมาประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับกะหล่ำดอกทั่วไป แต่มีลักษณะพิเศษกว่า เพราะลักษณะของดอกคล้ายกับมีดอกกะหล่ำสีเขียวดอกเล็กๆ มารวมอยู่ด้วยกันเป็นดอกใหญ่ ช่วยเพิ่มสีสัน และดูแปลกตาน่ารับประทาน มีถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นผักประเภทอายุปีเดียวและอายุสองปี แต่ส่วนใหญ่ปลูกเป็นผักอายุปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ 40 - 55 เซนติเมตร ขนาดดอกหนักประมาณ 0.5 - 1.20 กิโลกรัม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 - 20 เซนติเมตร มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60 - 90 วัน


การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร กะหล่ำดอกเป็นพืชผักที่ใช้บริโภคส่วนของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อน อัดตัวกันแน่น อวบและกรอบ ซึ่งนิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ ถ้าหากปล่อยให้เจริญเติบโตพัฒนาต่อไปก็จะเป็นช่อดอกและติดเมล็ดได้ กะหล่ำดอกเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหารของคนทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารระดับภัตตาคาร ระดับโรงแรมหรือในร้านข้าวแกง รวมไปถึงตามครัวใหญ่ครัวเล็กของบ้านต่างๆ เหตุที่กะหล่ำดอกได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเนื่องจากมีรสชาติอร่อย กรอบหวาน มีสีดอกเหลืองอ่อนน่ารับประทาน ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งผัด แกง ใส่ก๋วยเตี๋ยวหรืออื่นๆ อีกมากมาย กะหล่ำดอกเป็นผักที่ขายได้ราคาดี ไม่ค่อยเสียหายระหว่างขนส่ง เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่นหลายชนิด เพราะลำต้นแข็งแรง เนื้อแน่น และไม่อวบน้ำ


การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต :

การเพาะต้นกล้า การเตรียมแปลงเพาะกล้าให้ไถดินให้ลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 5 - 7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วมาคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน พรวนย่อยชั้นผิวดินให้ละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดตกลึกลงไปในร่องดิน ทำให้ไม่งอกหรืองอกยาก

หลังจากเตรียมแปลงเพาะเรียบร้อยแล้ว จึงทำการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วพื้นผิวแปลงเพาะอย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าหว่านกล้าให้แน่นเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินได้ หลังจากหว่านเมล็ดแล้วให้หว่านกลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว หรือดินผสมละเอียด หนาประมาณ 0.6 - 1 เซนติเมตร หรือทำร่องเป็นแถวลึกประมาณ 1.5 - 2 เซนติเมตร หลังโรยเมล็ดเป็นแถวตามร่องแต่ละแถวห่างกันประมาณ 10 - 15 เซนติเมตรแล้ว กลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือดินผสมละเอียดเช่นกัน หลักจากหว่านเมล็ดเรียบร้อยแล้วคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งสะอาดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้างอกเริ่มมีใบจริงควรถอนแยกต้นที่อ่อนแอ ต้นไม่สมบูรณ์และขึ้นเบียดเสียดกันแน่นเกินไปออก ให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 5 - 8 เซนติเมตร ช่วงนี้ควรให้ปุ๋ยพวกสารละลายสตาร์ทเตอร์โซลูชั่นแก่ต้นกล้า และหมั่นตรวจดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิด จนกระทั่งเมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 30 - 40 วันจึงทำการย้ายกล้าลงแปลงปลูกต่อไป

การปลูก เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 3 - 4 ใบ อายุได้ประมาณ 30 - 40 วัน ต้นสูงประมาณ 10 - 12 เซนติเมตร จึงทำการย้ายกล้าปลูกลงแปลง ไม่ควรปล่อยให้ต้นกล้ามีอายุแก่เกินไป จะทำให้รากเกิดการกระทบกระเทือนได้ง่ายขณะทำการย้าย มีผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ก่อนย้ายต้นกล้าให้รดน้ำบนแปลงเพาะกล้าให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ ควรเลือกย้ายกล้าในวันที่แสงแดดไม่จัด และย้ายในเวลาเย็นหรือช่วงอากาศมืดครึ้ม เพื่อหลีกเลี่ยงการคายน้ำมากเกินไปของต้นกล้า ซึ่งจะทำให้กล้าเหี่ยวตายได้

การปลูกโดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 40 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60 เซนติเมตร โดยปลูกเป็นหลุมบนแปลง หลังจากปลูกควรกลบดิน กดบริเวณโคนต้นให้แน่น จากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมโคนต้น เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดควรหาที่บังแดดให้ ซึ่งอาจใช้ทางมะพร้าวคลุมไว้ประมาณ 3 - 5 วัน จึงเอาทางมะพร้าวออก


การให้น้ำ ในช่วงแรกหลังจากย้ายปลูกไม่ต้องให้น้ำมากนัก เพียงให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมออย่างเพียงพอก็พอ สังเกตดูว่าดินแฉะเกินไปหรือไม่ ถ้าดินแฉะเกินไปก็ลดปริมาณน้ำที่ให้แต่ละครั้งให้น้อยลง เพราะถ้าแฉะเกินไปจะทำให้ต้นกะหล่ำดอกเกิดโรคเน่าเละได้ง่าย เมื่อกะหล่ำดอกโตขึ้นก็ให้น้ำมากขึ้นเพราะการระเหยน้ำเกิดเร็วขึ้น ควรให้อย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง เวลาเช้าและเย็น อย่าปล่อยให้กะหล่ำดอกขาดน้ำ เพราะจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและกระทบกระเทือนต่อการสร้างดอก ทำให้คุณภาพและปริมาณดอกลดลง ในฤดูแล้งควรมีการคลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง จะช่วยให้รักษาความชื้นในดินไว้ได้ดี


การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยไนโตรเจนนับว่ามีบทบาทต่อการเจริญเติบโตของกะหล่ำดอกมาก ดังนั้นในระยะแรกควรมีการให้ปุ๋ยไนโตเจนในรูปของแอมโมเนียมซัลเฟตหรือยูเรีย จากนั้นจึงใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 15-15-15 ในอัตรา 50 - 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยแบ่งใส่เป็น 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก และครั้งที่ 2 ใส่เมื่อกะหล่ำดอกอายุประมาณ 30 - 40 วันหลังย้ายปลูก โดยโรยใส่ข้างต้นแล้วพรวนดินกลบลงในดิน


การคลุมดอก เมื่อดอกกะหล่ำมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 - 7 เซนติเมตร หรือดอกโตจวนจะได้ขนาดแล้วควรมีการคลุมดอก โดยรวบใบบริเวณปลายยอดเข้าหากันอย่างหลวมๆ ระวังอย่าให้แน่นเกินไป แล้วใช้ยางรัดของมัดไว้ จะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีขาวนวลน่ารับประทาน มีคุณภาพดีเหตุที่ต้องมีการคลุมดอกก็เพื่อป้องกันแสงแดดส่องถูกผิวของดอกกะหล่ำ ซึ่งจะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีเหลือง อันเนื่องมาจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต ซึ่งลักษณะดอกกะหล่ำที่มีสีเหลืองตลาดมักจะไม่ต้องการ ปกติแล้วหลังจากคลุมดอกจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์หรือมากกว่า แต่ถ้าในฤดูร้อนจะเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น ในปัจจุบันกะหล่ำดอกพันธุ์ใหม่ๆ จะมีใบคลุมดอกได้เองโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องคลุมดอกให้

 

การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว 

ช่วงเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 90 – 105 วัน หลังย้ายปลูก หรือดอกมีขนาดเหมาะสม โดยใช้มีดหรือกรรไกรตัดให้มีความยาวของก้านดอกวัดจากกิ่งแขนงต่ำสุดยาว 8 เซนติเมตร ตัดแต่งใบออกให้ห่างจากลำต้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ตัดแต่งส่วนก้านให้รอยตัดตรง ไม่ตัดเฉียง ผักที่ตัดแต่งแล้วเข้าห้องเย็นจนเย็นทั่วถึง แล้วจึงบรรจุใส่กล่องโฟมที่ใส่น้ำแข็งหรือเจลไอซ์


กะหล่ำดอกม่วง (Purple Cauliflower)

$
0
0




กะหล่ำดอก มีถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นผักประเภทอายุปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ 40-55 เซนติเมตร ขนาดดอกหนักประมาณ 0.5 - 1.20 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) เส้นผ่านศูนย์กลางของดอกประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60-90 วัน

          กะหล่ำดอกเป็นพืชผักที่ใช้บริโภคส่วนของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสีขาว, เหลืองอ่อน, เขียว, ม่วง แล้วแต่ชนิดและสายพันธุ์ โดยดอกจะอัดตัว กันแน่น

          ปัจจุบันนิยมนำดอกกะหล่ำมาประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารระดับภัตตาคาร ระดับโรงแรม หรือในร้านข้าวแกง รวมไปถึงตามครัวใหญ่ครัวเล็กของบ้านต่างๆ เหตุที่กะหล่ำดอกได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเนื่องจาก มีรสชาติ อร่อย กรอบหวาน มีสีดอกเหลืองอ่อนน่ารับประทาน ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งผัด แกง ใส่ก๋วยเตี๋ยวหรืออื่นๆ อีกมากมาย กะหล่ำดอกเป็นผักที่ขายได้ราคาดี ไม่ค่อยเสียหายระหว่างขนส่ง เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่นหลายชนิด เพราะลำต้นมีความแข็งแรง เนื้อแน่น และไม่อวบน้ำ

สายพันธุ์ของกะหล่ำดอก


สามารถแบ่งตามอายุการเก็บเกี่ยวได้ 3 กลุ่มตามขนาดและอยุในการปลูก โดยปกติจะนิยมปลูกกะหล่ำดอกในเขตหนาวสำหรับพันธุ์หนัก และนิยมปลูกพันธุ์เบาและพันกลางในเขตร้อน ตัวอย่างของกะหล่ำดอกแบ่งออกได้ ดังนี้
1. พันธุ์เบา เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นคือ ประมาณ 60-75 วัน ได้แก่ 
- พันธุ์ Early snowball มีอายุการ เก็บเกี่ยว ประมาณ 60-75 วัน 
- พันธุ์ Burpeeana  มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 58 - 60 วัน
- พันธุ์ Snow drift  มีอายุการเก็บเกี่ยว ประมาณ 63-78 วัน

2. พันธุ์กลาง เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวปานกลางคือ ประมาณ 80-90 วัน ได้แก่ 
- พันธุ์ Graffiti Purple (กะหล่ำดอกม่วง) มีอายุการเก็บเกี่ยว ประมาณ 75 - 85 วัน
- พันธุ์ Snow fall มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 85 วัน 
- พันธุ์ Halland erfurt improve มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 85 วัน 
- พันธุ์ Cauliflower main crop snow fall มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน

3. พันธุ์หนัก เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนานประมาณ 90-150 วัน ได้แก่ 
- พันธุ์ Winter มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน 
- พันธุ์ Putna มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน

          นอกจากกลุ่มพันธุ์ดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะในอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และยุโรป บางประเทศได้แก่

1. พันธุ์ไวท์ คอนเทสซ่า ไฮบริด (White contessa hybrid, Sakata) เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว หนักประมาณ 500 กรัม เนื้อแน่น ใบมีสีเขียวเข้มและเรียบ เป็นพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งและอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี

2. พันธุ์ฟาร์มเมอร์ เออลี่ ไฮบริด (Farmer early hybrid, Know-you) เป็นกะหล่ำดอกพันธุ์เบา มีดอกสีขาว หนักประมาณ 1 1/2 กิโลกรัม ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดีสม่ำเสมอ

3. พันธุ์สโนว์บอลล์ เอ (Snow ball A, Takii) เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว แน่นและแข็ง มีใบนอกหุ้มดอกไว้ พันธุ์สโนว์ พีค (Snow peak, Takii) เป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นสำหรับปลูกในประเทศเขตร้อนโดยเฉพาะ เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว คุณภาพดีแน่น และดอกค่อน ข้างกลม

5. พันธุ์ซุปเปอร์ สโนว์บอลล์ (Super snow ball) เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์อื่นๆ ในกลุ่มพันธุ์ Snow ball ด้วยกัน

6. พันธุ์สโนว์ คิง ไฮบริด (Snow king hybrid) เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 50 วัน

สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม

          กะหล่ำดอก สามารถเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินร่วนปนทรายหรือดินร่วน แต่จะเจริญเติบโตได้ดีใน ดินร่วน เหนียว และควรเป็นดินที่มีการอุ้มน้ำและอินทรีย์วัตถุได้ดี ตลอดจนการระบายน้ำและอากาศดีไม่ทนต่อสภาพดินเป็นกรดจัด ลักษณะ ของดินในการปลูกจะมีผลต่อคุณภาพของดอกอย่างมาก การปลูกกะหล่ำดอกในดินร่วนโปร่ง โอกาสที่จะได้รับผลกระทบจาก อากาศ ร้อน และแห้งแล้งมีมากกว่า ดังนั้นจะได้ดอกที่หลวมคุณภาพต่ำ ส่วนการปลูกกะหล่ำในดินเหนียวแม้ว่าจะเจริญเติบโตช้าในระยะแรก แต่การเจริญทางใบก็เพียงพอที่จะทำให้ได้ดอกกะหล่ำเกาะตัวเป็นก้อนแน่นคุณภาพสูงกว่า ดินที่เหมาะสมในการปลูกควรมีความ เป็น กรดเป็นด่าง ระหว่าง 6 - 6.8 และควรได้รับแสงแดดเต็มที่ด้วย

          แต่เดิมนั้นการปลูกกะหล่ำดอก ต้องปลูกในฤดูหนาว ยิ่งหนาวมากยิ่งดี แต่ปัจจุบันได้มีการค้นคว้าจนได้กะหล่ำดอกพันธุ์ใหม่ๆ ที่ สามารถปลูกได้ทั้งในฤดูแล้งและฤดูฝน เพียงแต่ให้เป็นที่ที่อากาศในเวลากลางคืนเย็นพอสมควร แต่ถ้าปลูกในฤดูหนาวจะดีกว่า ความ ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมในการปลูกอยู่ระหว่าง 15 - 20 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามหากปลูกกะหล่ำดอกในที่มีอุณหภูมิต่ำเกินไปจะทำให้ดอกกะหล่ำโตช้า และยืดอายุการเก็บเกี่ยวออกไป


การเพาะกล้ากะกล่ำดอก

          การเตรียมแปลงเพาะกล้า ให้ไถดินให้ลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 5 - 7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลาย ตัวดี แล้ว ให้มากคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน พรวนย่อยชั้นผิวดินให้ละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดตกลึกลงไปในร่องดิน ทำให้ไม่งอกหรือ งอกยาก

          หลังจากเตรียมแปลงเพาะเรียบร้อยแล้ว จึงทำการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วพื้นผิวแปลงเพาะอย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าหว่านกล้าให้แน่น เกิน ไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินได้ หลังจากหว่านเมล็ดแล้วให้หว่านกลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว หรือดิน ผสม ละเอียด หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร หรือทำร่องเป็นแถวลึกประมาณ 1 1/2 – 2 เซนติเมตร หลังโรยเมล็ดเป็นแถวตามร่อง แต่ละ แถว ห่างกันประมาณ 10-15 เซนติเมตร แล้วกลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือดินผสมละเอียดเช่นกัน หลักจากหว่านเมล็ด เรียบร้อยแล้วคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งสะอาดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม

          เมื่อต้นกล้างอกเริ่มมีใบจริง ควรถอนแยกต้นที่อ่อนแอ ต้นไม่สมบูรณ์และขึ้นเบียดเสียดกันแน่นเกินไปออก ให้มีระยะห่างระหว่างต้น ประมาณ 5-8 เซนติเมตร ช่วงนี้ควรให้ปุ๋ยพวกสารละลายสตาร์ทเตอร์โซลูชั่นแก่ต้นกล้า และหมั่นตรวจดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิด จนกระทั่วเมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 30-40 วันจึงทำการย้ายกล้าลงแปลงปลูกต่อไป


การเตรียมดินปลูกกะหล่ำดอก

          กะหล่ำดอก เป็นผักที่มีระบบรากตื้น การเตรียมดินเพียงขุดดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 5 - 7 วัน เก็บ เศษหญ้า เศษวัชพืชออกให้หมด ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วคลุกเคล้าลงไปในดิน พรวนย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก แต่ไม่ควรละเอียดเกินไป ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ยกเป็น แปลงๆ พร้อมที่จะนำต้นกล้าลงปลูก


การย้ายเกล้ากะหล่ำดอก

          เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 3-4 ใบ อายุได้ประมาณ 30 - 40 วัน โดยต้นเกล้าจะสูงประมาณ 10 - 12 เซนติเมตร จึงทำการย้ายกล้าปลูกลงแปลง ไม่ควร ปล่อยให้ต้นกล้ามีอายุแก่เกินไป จะทำให้รากเกิดการกระทบกระเทือนได้ง่ายขณะทำการย้าย มีผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ก่อนย้ายต้นกล้าให้รดน้ำบนแปลเพาะกล้าให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ ควรเลือกย้ายกล้าในวันที่แสงแดดไม่จัด และย้ายในเวลาเย็นหรือช่วง อากาศมืดครึ้ม เพื่อหลีกเลี่ยนการคายน้ำมากเกินไปของต้นกล้า ซึ่งจะทำให้กล้าเหี่ยวตายได้  ระยะปลูกระหว่างต้นคือ 40 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60 เซนติเมตร โดยปลูกเป็นหลุมบนแปลง หลังจากปลูกควรกลบ ดินกดบริเวณโคนต้นให้แน่น จากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมโคนต้น เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนในพื้นที่ที่มี แสงแดด จัดควรหาที่ปังแดดให้ ซึ่งอาจใช้ทางมะพร้าวคลุมไว้ประมาณ 3 - 5 วัน จึงเอาทางมะพร้าวออก



การปฏิบัติดูแลรักษากะหล่ำดอก

1. การให้น้ำ ในช่วงแรกหลังจากย้ายปลูกไม่ต้องให้น้ำมากนัก เพียงให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมออย่างเพียงพอก็พอ สังเกตดูว่าดินแฉะ เกิน ไปหรือไม่ ถ้าดินแฉะเกินไปก็ลดปริมาณน้ำที่ให้แต่ละครั้งให้น้อยลง เพราะถ้าแฉะเกินไปจะทำให้ต้นกะหล่ำดอกเกิดโรคเน่าเละ ได้ง่าย เมื่อกะหล่ำดอกโตขึ้นก็ให้น้ำมากขึ้นเพราะการระเหยน้ำเกิดเร็วขึ้น ควรให้อย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง เวลาเช้าและเย็น อย่า ปล่อยให้กะหล่ำดอกขาดน้ำ เพราะจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและกระทบกระเทือนต่อการสร้างดอก ทำให้คุณภาพและปริมาณ ดอกลดลง ในฤดูแล้งควรมีการคลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง จะช่วยให้รักษาความชื้นในดินไว้ได้ดี

2. การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยไนโตรเจนนับว่ามีบทบาทต่อการเจริญเติบโตของกะหล่ำดอกมาก ดังนั้นในระยะแรกควรมีการให้ปุ๋ยไนโตเจน ในรูปของ แอมโมเนียม ซัลเฟตหรือยูเรีย จากนั้นจึงใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 15-15-15 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความอุดมสมบูรณ์ ของดิน โดยแบ่งใส่เป็น 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก และครั้งที่ 2 ใส่เมื่อกะหล่ำดอกอายุประมาณ 30-40 วันหลังย้ายปลูก โดยโรยใส่ข้างต้นแล้วพรวนดินกลบลงในดิน

3. การพรวนดิน ควรทำในระยะแรกขณะที่วัชพืชยังเล็กอยู่พร้อมกับการกำจัดวัชพืชพร้อมกันไปด้วย

4. การคลุมดอก เมื่อดอกกะหล่ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 - 7 เซนติเมตร หรือดอกโตจวนจะได้ขนาดแล้วควรมีการคลุมดอก โดย รวบใบบริเวณปลายยอดเข้าหากันอย่างหลวมๆ ระวังอย่าให้แน่นเกินไป แล้วใช้ยางรัดของมัดไว้ จะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีขาวนวล น่ารับประทาน มีคุณภาพดีเหตุที่ต้องมีการคลุมดอกก็เพื่อป้องกันแสงแดดส่องถูกผิวของดอกกะหล่ำ ซึ่งจะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีเหลือง อันเนื่องมาจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต ซึ่งลักษณะดอกกะหล่ำที่มีสีเหลืองตลาดมักจะไม่ต้องการ ปกติแล้วหลังจากคลุมดอกจะสามารถ เก็บเกี่ยว ได้ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์หรือมากกว่า แต่ถ้าในฤดูร้อนจะเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น ในปัจจุบันกะหล่ำดอกพันธุ์ใหม่ๆ จะมีใบ คลุมดอกได้เองโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องคลุมดอกให้


การเก็บเกี่ยวกะหล่ำดอก

          สังเกตได้จาก ขนาดของดอกที่มีขนาดโตเต็มที่ และเป็นก้อนแน่นก่อนการยืดตัวไปเป็นช่อดอก ทั้งนี้อาจจะนับจากจำนวนวันที่ดอกเริ่ม เจริญพอสังเกตเห็นได้ต่อไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็เก็บเกี่ยวได้หากอากาศไม่หนาวเกินไป นอกจากนั้นอาจสังเกตได้จาก อายุการเก็บเกี่ยว โดยพันธุ์เบาจะมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60 วันหลังจากย้ายกล้า และพันธุ์หนักมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วันหลังจากการย้ายกล้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ วิธีการเก็บเกี่ยวโดยใช้มีดตัดดอกกะหล่ำ ให้มีส่วนของใบบริเวณใกล้ดอกติดมา ด้วย 2-3 ใบ เพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการขนส่ง ควรเลือกตัดดอกที่ยังอ่อนแต่โตเต็มที่แล้วคือ สังเกตจากดอกกำลังมี สีครีม และหน้าดอกเรียบ


โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญของกะหล่ำดอก

1. โรครากปมของกะหล่ำ 
          สาเหตุเกิดจากไส้เดือนฝอยชนิด Meloidegyne sp. ลักษณะอาการ ของโรคนี้ต้นกะหล่ำดอกจะแคระแกร็นไม่ค่อยเจริญเติบโต เมื่อขุดรากขึ้นมาตรวจดูจะพบว่าบริเวณรากแขนงและ รากฝอยมีลักษณะ บวม เป็นปมขนาดต่างๆ ทำให้รากไม่สามารถหาอาหารได้ตามปกติ นอกจากนี้ไส้เดือนฝอยตัวเมียที่เข้าไปอยู่ในปมจะไปแย่งอาหาร จากพืชด้วยทำให้ลำต้นแคระแกร็นชะงักการเจริญเติบโต
          การป้องกันกำจัด ควรไถตากดินให้ลึก ใส่พวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักหรือกากพืชให้มาก และเมื่อพบไส้เดือนฝอยชนิดนี้ระบาดควรเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นสัก 1-2 ปี เช่น ข้าวโพด เป็นต้น


2. โรคเน่าดำ 
          เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Xanthomonas campestris ลักษณะอาการจะเกิดขึ้นที่ใบ โดยใบจะมีสีเหลือง และแห้ง หลังจากนั้นจะปรากฏสีดำบนเส้นใบ มักพบในระยะกะหล่ำกำลังเจริญเติบโต ทำให้กะหล่ำดอกชะงักการเจริญเติบโต แคะแกร็น หากทำการผ่าตามขวางของลำต้นจะพบวงสีน้ำตาลดำบนเนื้อเยื่อของพืชและต้นอาจตายได้
          การป้องกันกำจัด ใช้เมล็ดที่ปลอดโรคโดยนำเมล็ดมาแช่น้ำอุ่นก่อนปลูก เพื่อฆ่าเชื้อดังกล่าว และควรปลูกพืชหมุนเวียนสลับบ้าง หากเกิดโรคนี้บนแปลงควรงดการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำอย่างน้อย 3 ปี


3. โรคเน่าเละของกะหล่ำดอก 
          สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Erwinia carotovara อาการในระยะแรกจะพบเป็นจุดช้ำหรือฉ่ำน้ำ ที่บริเวณดอก ต่อมาจุดเหล่านี้ขยายออก เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงดำ เนื้อเยื่อบริเวณแผลมีลักษณะเป็นเมือกเยิ้มมีกลิ่นเหม็น เมื่อเป็น มากๆ ทำให้ดอกเกิดอาการเน่าเละเป็นสีน้ำตาลดำไปทั้งดอก และโรคนี้จะแพร่ไปยังต้นที่อยู่ใกล้เคียงโดยมีแมลงวันเป็นพาหนะ
          การป้องกันกำจัด ระมัดระวังอย่าให้เกิดแผลบนดอกกะหล่ำ กำจัดแมลงที่กัดกินดอกกะหล่ำ และเมื่อพบดอกกะหล่ำที่แสดง อาการให้ตัด ไปเผาทำลาย


4. หนอนใยผัก 
          มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plutella xylostella เป็นหนอนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาหนอนผีเสื้อศัตรูผัก ชอบวางไข่ตาม ใต้ใบเป็นฟองเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มติดกัน 2-5 ฟอง ไข่มีขนาดเล็กมากค่อนข้างแบนและยาวรี ไข่มีสีเหลืองอ่อนเป็นมัน มีผิวขรุขระ ระยะการเป็นไข่ 2-3 วัน เมื่อไข่ใกล้ฟักออกเป็นตัวหนอนจะมีสีเหลืองเข้ม ตัวหนอนมีขนาดค่อนข้างเล็กมองเห็นยาก มีการเจริญ เติบโตรวดเร็วกว่า หนอนอื่น เพียงแค่ 1 สัปดาห์ ก็จะโตเต็มที่มีขนาด 1 เซนติเมตร ส่วนท้ายมีปุ่มยื่นออกมา 2 แฉก ลำตัวอาจเป็น สีเขียว ปนเทาอ่อน หรือเขียวปนเหลือง เมื่อถูกตัวจะดิ้นอย่างแรง สามารถสร้างใยพาตัวเองขึ้นลงระหว่างพื้นดินกับต้นพืช ดักแด้ มี ขนาด 1 เซนติเมตร อยู่ภายในใยบางๆ ติดใต้ใบ อายุดักแด้ 3-4 วัน ส่วนตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน มีสีเทา หลังมีแถบ สีเหลือง เข้ม มีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์
          ลักษณะการทำลาย ตัวหนอนจะกัดกินผิวด้านล่างใบจนเกิดเป็นรูพรุนและมักเข้าไปกัดกินในยอดผักที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ผัก ได้รับความเสียหายสามารถทำลายผักในตระกูลกะหล่ำเกือบทุกชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และผักกาดต่างๆ
          การป้องกันกำจัด สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้สารเคมีกำจัดตัวหนอนโดยตรง หรือการใช้สารชีวภัณฑ์ เช่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัสทรูรินเจนซิส (ฺเชื้อ บี.ที.) ทำลาย และหมั่นตรวจดูแปลงกะหล่ำดอกอยู่เสมอ เมื่อพบตัวหนอนควรรีบทำลายทันที


5. หนอนเจาะยอดกะหล่ำ 
          มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hellula undalis ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก แม่ผีเสื้อจะวางไข่เดี่ยวๆ หรือ เป็นกลุ่มตามยอดอ่อนหรือใบอ่อน บางครั้งวางไข่บนดอกที่ยังตูมอยู่ ไข่มีลักษณะค่อนข้างกลมเรียวยาวเล็กน้อย ไข่ระยะแรกมีสีขาว ซีด ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลขนาดของไข่ประมาณ 0.34-0.55 มิลลิเมตร เมื่อไข่อายุ 2 วันจะมีสีชมพูเกิดขึ้นบนไข่ เมื่ออายุ มากขึ้นไข่จะเริ่มมีสีดำ และเริ่มออกเป็นตัวภายในระยะเวลา 3-5 วัน แม่ผีเสื้อตัวหนึ่งสามารถวางไข่ได้ประมาณ 14-255 ฟอง ตัวหนอนเมื่อโตเต็มที่ยาว 1-2 เซนติเมตร ผิวดำตัวใส มีแถบสีน้ำตาลพาดตามยาว ระยะการเจริญเติบโตของหนอนประมาณ 15-23 วัน จึงเข้าระยะดักแด้โดยสร้างใยหุ้มลำตัวติดกับเศษพืชที่ผิวดินหรือใต้ผิวดิน ดักแด้มีขนาดยาว 0.6-0.8 เซนติเมตร เข้าดักแด้ใหม่ๆ จะมีสีน้ำตาลอ่อน ต่อมาจะมีสีเข้มขึ้นระยะการเป็นดักแด้ประมาณ 7-11 วัน สำหรับตัวเต็มวัยลำตัวยาวประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ปีกคู่หน้ามีแถบสีน้ำตาลปนเทาพาดตามขวางโค้งไปมา ปีกคู่หลังมีสีน้ำตาลอ่อนปนเทา ตัวเต็มวัยมีอายุอยู่ได้ 7-10 วัน
          ลักษณะการทำลาย หนอนเจาะยอดกะหล่ำจะทำความเสียหายให้กับผักตระกูลกะหล่ำ โดยตัวหนอนจะเจาะเข้าทำลายดอก ทำให้ยอด ชะงักการเจริญเติบโต หนอนจะเจาะก้านดอกกัดกินดอกอ่อน ตาอ่อน หรือเจาะเข้าไปทำลายในผัก หนอนที่ออกจากไข่ใหม่ๆ อาจเจาะ เข้าไปทำลาย ผักใต้ผิวใบหรืออาจเจาะเข้าไปในส่วนของตาดอก บางครั้งจะเจาะเข้าไปในส่วนของตาดอก บางครั้งจะเจาะเข้าไปกิน ภาย ในส่วนของลำต้น เห็นรอยกัดกินเป็นทาง เราอาจพบมูลตามลำต้นและใบ โดยหนอนจะกัดใบคลุมตัวเองและจะกัดกินอยู่ภายใน
          การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีเมวินฟอส อัตรา 20-30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อหนอนระบาด ควรพ่นทุกๆ 5 วัน หรืออาจใช้เมตา ไมโดฟอส ในอัตรา 20-30 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือการใช้สารชีวภัณฑ์ เช่นเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัสทรูรินเจนซิส (ฺเชื้อ บี.ที.) ทำลาย และหมั่นตรวจดูแปลงกะหล่ำดอกอยู่เสมอ เมื่อพบตัวหนอนควรรีบทำลายทันที

สินค้าที่จำหน่าย   วิธีการสั่งซื้อ




กะหล่ำดาวสีเขียว (Green Brussels Sprouts)

$
0
0

 


กะหล่ำดาว, Brussels Sprouts

ชื่อพื้นเมือง : กะหล่ำดาว, กะหล่ำหัวลำต้น (ภาคเหนือ), กะหล่ำปลีพวง
ชื่อวิทยาศาสตร์กะหล่ำดาว : Brassica oleracea L. var. gemmifera (DC.) Thell.
ชื่อวงศ์กะหล่ำดาว : BRASSICACEAE (CRUCIFERAE)
ชื่อสามัญกะหล่ำดาว : Brussels Sprouts

กะหล่ำดาว จัดอยู่ในกลุ่มพืชเมืองหนาว อยู่ในตระกูลกะหล่ำ การเจริญเติบโตเป็นพืชสองฤดู ต้องการสภาพปลูกที่มีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง ส่วนที่ใช้บริโภคคือ หัวขนาดเล็ก เข้าปลีแน่น คล้ายกะหล่ำปลี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-1.5 เซนติเมตรในยุโรป และ 2.4-4.8 เซนติเมตร ในสหรัฐอเมริกา เจริญจากข้อระหว่างต้นและกาบใบ และเจริญต่อเนื่องจนกระทั่งต้นชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นสูงแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ ลำต้นสูง 60-100 เซนติเมตร หรือสูงกว่า และพันธุ์ลำต้นเตี้ย 60 เซนติเมตร ให้ผลผลิตประมาณ 100 หัวต่อต้น กะหล่ำดาวสายพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวเร็ว จะให้ผลผลิตเร็ว และผลผลิตต่ำกว่ากะหล่ำดาวสายพันธุ์หนักที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนาน

สภาพดินและการเตรียมดิน กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) เจริญได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีอินทรียวัตถุและไนโตรเจนสูง ระบายน้ำได้ดี pH 6.0-6.8 การเตรียมดินควรหว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนเตรียมดิน ในบางพื้นที่เป็นดินเหนียวหรือดินลูกรัง ควรเจาะร่องปลูกและผสมวัสดุปลูกลงในร่องปลูก


การใส่ปุ๋ยเคมี กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ควรใส่ตามผลการวิเคราะห์ดินและพืช เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารสูง จึงจำเป็นต้องมีธาตุอาหารพอเพียง สำหรับการเจริญให้ผลผลิตและคุณภาพสูง


การเพาะเมล็ด กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) จำนวนเมล็ด 1 กรัมมีประมาณ 350 เมล็ด ทดสอบความงอกก่อนเพาะเมล็ด ก่อนเพาะเมล็ดควรแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 25-30 นาที นำออกมาผึ่งให้แห้ง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกของเมล็ด 20-30 องศาเซลเซียส หยอดเมล็ดในถาดเพาะ วัสดุเพาะ ดินร่วน + ปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยคอก + 12-24-12

การย้ายปลูก กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ย้ายปลูกหลังหยอดเมล็ด 15-20 วัน ระยะปลูก 30-50 x 75-100 เซนติเมตรขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

การดูแลรักษา กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ในแบ่งแห่งนิยมปลิดยอด เพื่อให้เก็บเกี่ยวเร็ว ขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตและคุณภาพสูง โดยปลิดเมื่อต้นเจริญเต็มที่และปลีข้างล่างมีขนาด 0.5-0.75 นิ้ว ในบางแห่งจะทยอยปลิดใบล่างออก เพื่อให้ได้รับแสงแดดและช่วยในการสร้างอาหาร

การให้น้ำ กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) กะหล่ำดาวเป็นพืชที่ต้องการน้ำสูง และระยะเวลาในการปลูก เก็บเกี่ยวนาน เพื่อให้ปลีขนาดใหญ่ ผลผลิตและคุณภาพสูง ควรให้ความชื้นพอเพียงและสม่ำเสมอ หรือ 1-1.5 นิ้วต่ออาทิตย์ หรือ 15-20 นิ้วต่อฤดูปลูก

การเก็บเกี่ยว กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) 80-100 วันหลังหยอดเมล็ด หรือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-4.0 เซนติเมตร หัวแน่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โดยเริ่มเก็บเกี่ยวจากโคนต้น

หลังจากเก็บเกี่ยวและปลิดใบล่าง ต้นเจริญสูงขึ้น ทำให้มีใบและปลีเพิ่มขึ้น การเด็ดยอดให้ปลีขนาดใหญ่และสม่ำเสมอ ผลผลิตประมาณ 1 กิโลกรัมต่อต้น หลังเก็บเกี่ยวควรลดอุณหภูมิเฉียบพลันลงถึง 2 องศาเซลเซียส ขนส่งโดยการใส่น้ำแข็งในภาชนะบรรจุ

การบรรจุในถุงพลาสติกที่ระบายอากาศได้ จะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำในพืช เนื่องจากกะหล่ำดาวมีอัตราการหายใจสูง นอกจากนี้การละสมคาร์บอนไดออกไซด์ในภาชนะบรรจุสูงกว่า 20% ทำให้มีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป คุณภาพต่ำ ไม่สามารถขายได้

การเก็บรักษา กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts)
เก็บรักษา 30 วัน ในอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95% อุณหภูมิสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส ปลีจะเหลืองภายในเวลา 1 อาทิตย์ การเก็บรักษานานจะทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีดำอัตราการเสื่อมของเนื้อเยื่อในอุณหภูมิ 4.4 องศาเซลเซียส จะสูงเป็นสองเท่าของอุณหภูมิ –1 องศาเซลเซียส
การเก็บรักษาในภาชนะบรรจุประกอบด้วย ออกซิเจน 2.5-5% และคาร์บอนไดออกไซด์ 5-7.5% เก็บรักษาในอุณหภูมิ 4.4 องศาเซลเซียส สามารถยืดอายุการเก็บรักษา 1 อาทิตย์

ประโยชน์ กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ปลี หรือ ตาข้าง ใช้กินเป็นผัก


คะน้าใบหยิก โปรตุเกส (Portuguese Kale)


คะน้าใบหยิก โอพี-สีเขียว (Blue Curled Scotch OP Kale)

คะน้าใบหยิก ไซบีเรี่ยน (Dwarf Siberian Improved Kale)

แรดิช เรดมีท (Red Meat Radish/Watermelon Radish)

คะน้าใบหยิกสีเขียว (Green Kale / Kale Winterbor F1)

คะน้าใบหยิกม่วง สกาเล็ท (Scarlet Kale)

$
0
0

 


ตัวอย่างเคล Scarlet Kale ที่ทางเซนฯ ได้ทดลองปลูกในกระถางขนาด 8 นิ้ว







































คะน้าใบหยิก ไดโนซอร์ (Lacinato Kale)

$
0
0

 


ตัวอย่างที่ทางเซนฯ ได้ทดลองปลูก เคลไดโนซอร์













เมล็ดพันธุ์ผักไทย-จีน (ซองละ 15 บ.)

$
0
0
ปรับปรุง ณ วันที่ 25 พ.ย. 2565

(เมล็ดพันธุ์ บรรจุซอง ยี่ห้อ เจียไต๋, กำไลทอง, สามเอ, ปลาวาฬ ฯลฯ)
* สำหรับเมล็ดพันธุ์พืชชนิดอื่นๆ ที่ต้องการสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ










เมล็ดผักไทย-จีน (ผักทานใบ)    ซองละ 15 บ.
1. กวางตุ้งใบ
2. กวางตุ้งดอก
3. กวางตุ้งฮ่องเต้
4. กระหล่ำปลีกลม
5. ตั้งโอ๋
6. ปวยเล้ง
7. คะน้ายอด
8. คะน้าฮ่องกง
9. คะน้าเห็ดหอม
10. ผักโขมเขียว
11. ผักโขมศรีสุข
12. ผักโขมแดง
13. ผักบุ้งจีน
14. ผักกาดขาวปลี
15. ผักกาดเขียว (ชุนฉ่าย)


เมล็ดผักไทย-จีน (พืชสมุนไพร, ผักทานราก)    ซองละ 15 บ.
1. กะเพราแดง
2. โหระพา
3. คึ่นฉ่าย
4. ผักชีไทย
5. ผักชีฝรั่ง
6. ต้นหอม
7. สาระแหน่



เมล็ดผัก,ผลไม้ ไทย-จีน (พืชทานผล)  ซองละ 15 บ.
1. มะเขือยาวเขียว
2. มะเขือยาวม่วง
3. มะเขือเทศลูกท้อ
4. มะระจีน
5. มะเขือเปราะเจ้าพระยา
6. ถั่วฝักยาวเนื้อ
7. ถั่วพู
8. พริกขี้หนูสวน
9. บวบเหลี่ยม
10. ข้าวโพดหวานทานสุก (สีเหลือง)
11. ข้าวโพดหวานทานสุก (สีขาว)
12. มะเขือเปราะคางกบ
13. แตงกวา (แตงร้าน)
14. ถั่วลันเตา
15. กระเจี๊ยบเขียว



วิธีการสั่งซื้อ :

1. ลูกค้าสอบถามรายละเอียดสินค้าและแจ้งรายการสั่งซื้อได้ที่
(ช่องทาง รับออเดอร์ และรับฝากคำถาม สะดวกที่สุดคือทาง Line และทาง E-mail)

สำนักงานใหญ่ (อ.เมือง  จ.เชียงใหม่)
คุณเอก   โทร.087-177-6447
อีเมล์       : zen-hydroponics@hotmail.com

Line ID  : @zenhydro


Line ID  : zenhydro



สาขาหางดง (อ.หางดง  จ.เชียงใหม่)
คุณตู่   โทร.086-184-7751

Line ID  : @wht6763k






Line ID  : 0861847751









2. ทางเซนฯ แจ้งยอดชำระ (พร้อมวิธีจัดส่งให้ลูกค้าเลือก)

3. ลูกค้าเลือกวิธีการจัดส่ง พร้อมโอนเงินชำระค่าสินค้า+ค่าจัดส่ง


ธนาคารสำหรับชำระค่าสินค้า
ธนาคารกสิกรไทย สาขา กาดฝรั่ง (เชียงใหม่)
ชื่อบัญชี นาย เอกชัย นำเจริญ
ประเภทออมทรัพย์
เลขที่บัญชี 500-2-08020-8


4. ลูกค้าแจ้งการรายละเอียดการชำระเงิน และชื่อ-ที่อยู่ในการจัดส่งสินค้าที่
คุณ เอก   โทร.087-177-6447   (สำนักงานใหญ่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่)
คุณ ตู่       โทร.086-184-7751   (สาขา อ.หางดง เชียงใหม่)
อีเมล์       : zen-hydroponics@hotmail.com
Line ID  : zenhydro


ข้อมูลที่ลูกค้าต้องแจ้งหลังจากโอนเงินชำระค่าสินค้าและค่าจัดส่ง
              - โอนเข้าธนาคาร ......................................................
              - วันที่โอน...................................................................
              - เวลาที่โอน ...............................................................
              - ยอดเงินที่โอน ..........................................................
              - ชื่อ,สกุลผู้รับสินค้า ....................................................
              - ที่อยู่ในการจัดส่งสินค้า .............................................
              - เบอร์โทรลูกค้า ..........................................................

5. หลังจากรับแจ้งการโอนเงินจากลูกค้า ทางเซนฯ จะตรวจสอบหลักฐานการโอนเงินเรียบร้อย
จึงทำการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า และแจ้งการจัดส่งให้ลูกค้าทราบอีกครั้งหนึ่ง


เงื่อนไข
* ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้ากรุณาอย่าพึ่งโอนเงินค่าสินค้ามาจนกว่าจะได้รับการยืนยันยอดการโอน

* กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการกรุณาแจ้งให้ทางเซนฯ ทราบก่อนทำการโอนเงิน เพื่อให้ทางเซนฯ คำนวณยอดสินค้าและค่าจัดส่งให้ลูกค้าทราบใม่อีกครั้ง

* ก่อนทำการโอนเงินลูกค้าทำการตรวจสอบรายการสินค้าหรือยอดรวมเงินก่อนทุกครั้ง หากรายการสินค้าไม่ครบถ้วนหรือยอดรวมเงินผิดพลาด ให้ลูกค้าโต้แย้งเพื่อให้ทางเซนฯ ทำการรวมยอดใหม่อีกครั้ง

*  ทางเซนฯ จะทำการจัดส่งสินค้าทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ โดยตัดรอบส่งประจำวันเวลา 10.00 น. ทางเซนฯยกเว้นส่งสินค้าใน วันเสาร์, อาทิตย์ และวันหยุดทำการไปรษณีย์ 

* การแจ้งรหัสติดตามสินค้า จะแจ้งให้ลูกค้าทราบหลังเวลา 16.00 น. เป็นต้นไป  หากลูกค้ายังไม่ได้รับแจ้งหมายเลขการจัดส่งสินค้าในวันนัดส่งหลังเวลา 16.00 น. ให้สอบถามหรือติดต่อเข้ามาสอบถามได้

* ลูกค้าเมื่อโอนเงินชำระค่าสินค้าและค่าจัดส่งแล้วรบกวนแจ้งข้อมูลการโอน, ชื่อ, ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่ใช้ในการจัดส่ง มาให้ทราบด้วยเพื่อประโยชน์แก่ตัวลูกค้าเอง และเพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบและจัดส่งสินค้า

การจัดส่ง EMS ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่  http://track.thailandpost.co.th 
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 2 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า

การจัดส่ง ลงทะเบียน ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่  http://track.thailandpost.co.th 
หรือตรวจสอบได้ที่เคาน์เตอร์ไปรษณีย์นำจ่ายปลายทางของผู้รับสินค้า
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 5 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า

การจัดส่ง ธรรมดา ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่สายด่วนไปรษณีย์ 1545 หรือตรวจสอบได้ที่เคาน์เตอร์ไปรษณีย์นำจ่ายปลายทางของผู้รับสินค้า
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 7 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า


กะหล่ำดอกขาว Snow Crown F1

คะน้าใบหยิกสีเขียว (Green Kale / Kale Starbor F1)

คะน้าใบหยิกสีเขียว (Green Kale / Kale Hydra F1)

เคลประดับ Ornamental Kale / Nagoya White F1

เคลประดับ Ornamental Kale / Condor Red F1

Viewing all 120 articles
Browse latest View live