กวางตุ้งก้านม่วง (Purple Choy Sum)
ผักสลัด ฟิลเลย์ ไอซ์เบริกส์ (Frillice Iceberg Lettuce)
ตัวอย่างการกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัด ฟิลเลย์ ไอซ์เบริกส์ (ในพื้นที่อากาศร้อน)
1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 7 วัน เริ่มให้ปุ๋ยอ่อนๆ โดยให้ค่า EC ประมาณ 1.0 - 1.2 ms/cm
2. เมื่อครบกำหนด 10 - 14 วัน หรือต้นเกล้าเริ่มมีใบจริงประมาณ 2 - 3 ใบ ก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้เลย โดยกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ms/cm
3. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 15 - 25 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.1 - 1.2 ms/cm
และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)
4. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 26 - 30 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm
และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)
6. เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 31 - 35 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm
และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง
7.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 36 - 45 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 0.8 - 1.0 ms/cm
และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง
8.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 45 - 60 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ต่ำกว่า 0.5 ms/cm
หรือจะใช้น้ำเปล่าเลี้ยงประมาณ 3 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวก็ได้ครับ
ข้อแนะนำในการปลูก
1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 2 - 3 วัน แนะนำให้นำต้นเกล้าได้รับแสงแดดตอนเช้าหรือเย็นประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ต้นเกล้าไม่ยืดและแข็งแรงมากขึ้น
8.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 45 - 60 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ต่ำกว่า 0.5 ms/cm
หรือจะใช้น้ำเปล่าเลี้ยงประมาณ 3 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวก็ได้ครับ
1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 2 - 3 วัน แนะนำให้นำต้นเกล้าได้รับแสงแดดตอนเช้าหรือเย็นประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ต้นเกล้าไม่ยืดและแข็งแรงมากขึ้น
2. ในพื้นที่อากาศร้อนเมื่อผักสลัดมีอายุปลูกได้ประมาณ 20 วัน มักมีอาการขอบใบไหม้ แนะนำให้ปรับค่า EC ให้ต่ำและให้ลดการคายน้ำทางใบของพืชลง ด้วยการพลางแสง หรือเสปรย์น้ำเพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นในอากาศ และควรมีการฉีดพ่น ธาตุแคลเซียม-โบรอน เสริมทางใบเพื่อป้องกันอาการขอบใบไหม้
3. ศัตรูพืชที่สำคัญของ ผักสลัด คือ เพลี้ยไฟ และหนอนใยผัก แนะนำให้ฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อป้องกัน และกำจัด ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีจำกัดศัตรูพืช เนื่องจากสลัดเป็นพืชอายุสั้นและต้องบริโภคส่วนที่เป็นใบจึงอาจเป็นอัตรายต่อผู้บริโภคได้
4. การปลูกสลัดแนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมธาตุอาหารใหม่ในช่วงที่ผัก อายุได้ 28 วัน (หรืออายุผัก 4 สัปดาห์) โดยลดปริมาณการใช้ปุ๋ย A,B ลงทุกๆ ช่วงอายุปลูก ข้อดีของการลดการปลูกสลัดโดยใช้ EC สูง ไปหาต่ำมีข้อดีคือ
4.1 ประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้ธาตุอาหาร
4.2 เพื่อป้องกันการเกิด Tip burn โดยเฉพาะผักที่เกิดอาการดังกล่าวได้ง่ายเช่น ผักในกลุ่มคอส, บัตเตอร์เฮด และผักกาดแก้ว
4.3 ช่วยให้ผักเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
4.4 ทำให้ผักสลัดที่ปลูกไม่มีรสขม หรือมีความขมลดลงในช่วงฤดูร้อน
5.แนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมปุ๋ยใหม่เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 25 วัน
หมายเหตุ ผักสลัดเป็นพืชทานใบที่มีอายุปลูกสั้น การใช้ปุ๋ยในระดับสูงเกิน 1.5 ms/cm หลังจากผักอายุได้ 30 วันไม่ได้เกิดประโยชน์ใดกับผักสลัดเลย กลับทำให้ผักมีอาการขาดธาตุแคลเซียม (Tipburn) มากขึ้นเพราะเพื่อความเข้มข้นของธาตุอาหารในระบบมีสูงเกินไป ช่วงเวลาที่ผักสลัดสะสมอาหารมากที่สุดคือช่วงที่ผักมีอายุได้ประมาณ 10 - 30 วันแรก ซึ่งหลังอายุ 30 วันไปแล้วผักสลัดจะใช้ปุ๋ยน้อยลง ส่วนที่ผักสลัดต้องการมากที่สุดคือ น้ำ
4. การปลูกสลัดแนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมธาตุอาหารใหม่ในช่วงที่ผัก อายุได้ 28 วัน (หรืออายุผัก 4 สัปดาห์) โดยลดปริมาณการใช้ปุ๋ย A,B ลงทุกๆ ช่วงอายุปลูก ข้อดีของการลดการปลูกสลัดโดยใช้ EC สูง ไปหาต่ำมีข้อดีคือ
4.1 ประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้ธาตุอาหาร
4.2 เพื่อป้องกันการเกิด Tip burn โดยเฉพาะผักที่เกิดอาการดังกล่าวได้ง่ายเช่น ผักในกลุ่มคอส, บัตเตอร์เฮด และผักกาดแก้ว
4.3 ช่วยให้ผักเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
4.4 ทำให้ผักสลัดที่ปลูกไม่มีรสขม หรือมีความขมลดลงในช่วงฤดูร้อน
5.แนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมปุ๋ยใหม่เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 25 วัน
หมายเหตุ ผักสลัดเป็นพืชทานใบที่มีอายุปลูกสั้น การใช้ปุ๋ยในระดับสูงเกิน 1.5 ms/cm หลังจากผักอายุได้ 30 วันไม่ได้เกิดประโยชน์ใดกับผักสลัดเลย กลับทำให้ผักมีอาการขาดธาตุแคลเซียม (Tipburn) มากขึ้นเพราะเพื่อความเข้มข้นของธาตุอาหารในระบบมีสูงเกินไป ช่วงเวลาที่ผักสลัดสะสมอาหารมากที่สุดคือช่วงที่ผักมีอายุได้ประมาณ 10 - 30 วันแรก ซึ่งหลังอายุ 30 วันไปแล้วผักสลัดจะใช้ปุ๋ยน้อยลง ส่วนที่ผักสลัดต้องการมากที่สุดคือ น้ำ
เสจ (Common Sage)
เคล แดซลิ่งบลู (Dazzling Blue Kale)
กะหล่ำดอกโรแมเนสโก้ (Romanesco Cauliflower)
กะหล่ำดอกโรมาเนสโก สามารถนำส่วนของดอกสีเขียวมาประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับกะหล่ำดอกทั่วไป แต่มีลักษณะพิเศษกว่า เพราะลักษณะของดอกคล้ายกับมีดอกกะหล่ำสีเขียวดอกเล็กๆ มารวมอยู่ด้วยกันเป็นดอกใหญ่ ช่วยเพิ่มสีสัน และดูแปลกตาน่ารับประทาน มีถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นผักประเภทอายุปีเดียวและอายุสองปี แต่ส่วนใหญ่ปลูกเป็นผักอายุปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ 40 - 55 เซนติเมตร ขนาดดอกหนักประมาณ 0.5 - 1.20 กิโลกรัม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 - 20 เซนติเมตร มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60 - 90 วัน
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร กะหล่ำดอกเป็นพืชผักที่ใช้บริโภคส่วนของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อน อัดตัวกันแน่น อวบและกรอบ ซึ่งนิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ ถ้าหากปล่อยให้เจริญเติบโตพัฒนาต่อไปก็จะเป็นช่อดอกและติดเมล็ดได้ กะหล่ำดอกเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหารของคนทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารระดับภัตตาคาร ระดับโรงแรมหรือในร้านข้าวแกง รวมไปถึงตามครัวใหญ่ครัวเล็กของบ้านต่างๆ เหตุที่กะหล่ำดอกได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเนื่องจากมีรสชาติอร่อย กรอบหวาน มีสีดอกเหลืองอ่อนน่ารับประทาน ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งผัด แกง ใส่ก๋วยเตี๋ยวหรืออื่นๆ อีกมากมาย กะหล่ำดอกเป็นผักที่ขายได้ราคาดี ไม่ค่อยเสียหายระหว่างขนส่ง เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่นหลายชนิด เพราะลำต้นแข็งแรง เนื้อแน่น และไม่อวบน้ำ
การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต :
การเพาะต้นกล้า การเตรียมแปลงเพาะกล้าให้ไถดินให้ลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 5 - 7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วมาคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน พรวนย่อยชั้นผิวดินให้ละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดตกลึกลงไปในร่องดิน ทำให้ไม่งอกหรืองอกยาก
หลังจากเตรียมแปลงเพาะเรียบร้อยแล้ว จึงทำการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วพื้นผิวแปลงเพาะอย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าหว่านกล้าให้แน่นเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินได้ หลังจากหว่านเมล็ดแล้วให้หว่านกลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว หรือดินผสมละเอียด หนาประมาณ 0.6 - 1 เซนติเมตร หรือทำร่องเป็นแถวลึกประมาณ 1.5 - 2 เซนติเมตร หลังโรยเมล็ดเป็นแถวตามร่องแต่ละแถวห่างกันประมาณ 10 - 15 เซนติเมตรแล้ว กลบด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือดินผสมละเอียดเช่นกัน หลักจากหว่านเมล็ดเรียบร้อยแล้วคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งสะอาดบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้างอกเริ่มมีใบจริงควรถอนแยกต้นที่อ่อนแอ ต้นไม่สมบูรณ์และขึ้นเบียดเสียดกันแน่นเกินไปออก ให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 5 - 8 เซนติเมตร ช่วงนี้ควรให้ปุ๋ยพวกสารละลายสตาร์ทเตอร์โซลูชั่นแก่ต้นกล้า และหมั่นตรวจดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิด จนกระทั่งเมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 30 - 40 วันจึงทำการย้ายกล้าลงแปลงปลูกต่อไป
การปลูก เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 3 - 4 ใบ อายุได้ประมาณ 30 - 40 วัน ต้นสูงประมาณ 10 - 12 เซนติเมตร จึงทำการย้ายกล้าปลูกลงแปลง ไม่ควรปล่อยให้ต้นกล้ามีอายุแก่เกินไป จะทำให้รากเกิดการกระทบกระเทือนได้ง่ายขณะทำการย้าย มีผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ก่อนย้ายต้นกล้าให้รดน้ำบนแปลงเพาะกล้าให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ ควรเลือกย้ายกล้าในวันที่แสงแดดไม่จัด และย้ายในเวลาเย็นหรือช่วงอากาศมืดครึ้ม เพื่อหลีกเลี่ยงการคายน้ำมากเกินไปของต้นกล้า ซึ่งจะทำให้กล้าเหี่ยวตายได้
การปลูกโดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 40 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60 เซนติเมตร โดยปลูกเป็นหลุมบนแปลง หลังจากปลูกควรกลบดิน กดบริเวณโคนต้นให้แน่น จากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมโคนต้น เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดควรหาที่บังแดดให้ ซึ่งอาจใช้ทางมะพร้าวคลุมไว้ประมาณ 3 - 5 วัน จึงเอาทางมะพร้าวออก
การให้น้ำ ในช่วงแรกหลังจากย้ายปลูกไม่ต้องให้น้ำมากนัก เพียงให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมออย่างเพียงพอก็พอ สังเกตดูว่าดินแฉะเกินไปหรือไม่ ถ้าดินแฉะเกินไปก็ลดปริมาณน้ำที่ให้แต่ละครั้งให้น้อยลง เพราะถ้าแฉะเกินไปจะทำให้ต้นกะหล่ำดอกเกิดโรคเน่าเละได้ง่าย เมื่อกะหล่ำดอกโตขึ้นก็ให้น้ำมากขึ้นเพราะการระเหยน้ำเกิดเร็วขึ้น ควรให้อย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง เวลาเช้าและเย็น อย่าปล่อยให้กะหล่ำดอกขาดน้ำ เพราะจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและกระทบกระเทือนต่อการสร้างดอก ทำให้คุณภาพและปริมาณดอกลดลง ในฤดูแล้งควรมีการคลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง จะช่วยให้รักษาความชื้นในดินไว้ได้ดี
การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยไนโตรเจนนับว่ามีบทบาทต่อการเจริญเติบโตของกะหล่ำดอกมาก ดังนั้นในระยะแรกควรมีการให้ปุ๋ยไนโตเจนในรูปของแอมโมเนียมซัลเฟตหรือยูเรีย จากนั้นจึงใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 15-15-15 ในอัตรา 50 - 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยแบ่งใส่เป็น 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก และครั้งที่ 2 ใส่เมื่อกะหล่ำดอกอายุประมาณ 30 - 40 วันหลังย้ายปลูก โดยโรยใส่ข้างต้นแล้วพรวนดินกลบลงในดิน
การคลุมดอก เมื่อดอกกะหล่ำมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 - 7 เซนติเมตร หรือดอกโตจวนจะได้ขนาดแล้วควรมีการคลุมดอก โดยรวบใบบริเวณปลายยอดเข้าหากันอย่างหลวมๆ ระวังอย่าให้แน่นเกินไป แล้วใช้ยางรัดของมัดไว้ จะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีขาวนวลน่ารับประทาน มีคุณภาพดีเหตุที่ต้องมีการคลุมดอกก็เพื่อป้องกันแสงแดดส่องถูกผิวของดอกกะหล่ำ ซึ่งจะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีเหลือง อันเนื่องมาจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต ซึ่งลักษณะดอกกะหล่ำที่มีสีเหลืองตลาดมักจะไม่ต้องการ ปกติแล้วหลังจากคลุมดอกจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์หรือมากกว่า แต่ถ้าในฤดูร้อนจะเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น ในปัจจุบันกะหล่ำดอกพันธุ์ใหม่ๆ จะมีใบคลุมดอกได้เองโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องคลุมดอกให้
การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว :
ช่วงเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 90 – 105 วัน หลังย้ายปลูก หรือดอกมีขนาดเหมาะสม โดยใช้มีดหรือกรรไกรตัดให้มีความยาวของก้านดอกวัดจากกิ่งแขนงต่ำสุดยาว 8 เซนติเมตร ตัดแต่งใบออกให้ห่างจากลำต้นไม่เกิน 1 เซนติเมตร ตัดแต่งส่วนก้านให้รอยตัดตรง ไม่ตัดเฉียง ผักที่ตัดแต่งแล้วเข้าห้องเย็นจนเย็นทั่วถึง แล้วจึงบรรจุใส่กล่องโฟมที่ใส่น้ำแข็งหรือเจลไอซ์
กะหล่ำดอกม่วง (Purple Cauliflower)
สายพันธุ์ของกะหล่ำดอก
1. พันธุ์ไวท์ คอนเทสซ่า ไฮบริด (White contessa hybrid, Sakata) เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว หนักประมาณ 500 กรัม เนื้อแน่น ใบมีสีเขียวเข้มและเรียบ เป็นพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งและอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี
2. พันธุ์ฟาร์มเมอร์ เออลี่ ไฮบริด (Farmer early hybrid, Know-you) เป็นกะหล่ำดอกพันธุ์เบา มีดอกสีขาว หนักประมาณ 1 1/2 กิโลกรัม ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดีสม่ำเสมอ
3. พันธุ์สโนว์บอลล์ เอ (Snow ball A, Takii) เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว แน่นและแข็ง มีใบนอกหุ้มดอกไว้ พันธุ์สโนว์ พีค (Snow peak, Takii) เป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นสำหรับปลูกในประเทศเขตร้อนโดยเฉพาะ เป็นพันธุ์เบา มีดอกสีขาว คุณภาพดีแน่น และดอกค่อน ข้างกลม
5. พันธุ์ซุปเปอร์ สโนว์บอลล์ (Super snow ball) เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์อื่นๆ ในกลุ่มพันธุ์ Snow ball ด้วยกัน
6. พันธุ์สโนว์ คิง ไฮบริด (Snow king hybrid) เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 50 วัน
สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
การเพาะกล้ากะกล่ำดอก
การเตรียมดินปลูกกะหล่ำดอก
การย้ายเกล้ากะหล่ำดอก
การปฏิบัติดูแลรักษากะหล่ำดอก
การเก็บเกี่ยวกะหล่ำดอก
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญของกะหล่ำดอก
การป้องกันกำจัด ใช้เมล็ดที่ปลอดโรคโดยนำเมล็ดมาแช่น้ำอุ่นก่อนปลูก เพื่อฆ่าเชื้อดังกล่าว และควรปลูกพืชหมุนเวียนสลับบ้าง หากเกิดโรคนี้บนแปลงควรงดการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำอย่างน้อย 3 ปี
การป้องกันกำจัด ระมัดระวังอย่าให้เกิดแผลบนดอกกะหล่ำ กำจัดแมลงที่กัดกินดอกกะหล่ำ และเมื่อพบดอกกะหล่ำที่แสดง อาการให้ตัด ไปเผาทำลาย
กะหล่ำดาวสีเขียว (Green Brussels Sprouts)
กะหล่ำดาว, Brussels Sprouts
ชื่อพื้นเมือง : กะหล่ำดาว, กะหล่ำหัวลำต้น (ภาคเหนือ), กะหล่ำปลีพวง
ชื่อวิทยาศาสตร์กะหล่ำดาว : Brassica oleracea L. var. gemmifera (DC.) Thell.
ชื่อวงศ์กะหล่ำดาว : BRASSICACEAE (CRUCIFERAE)
ชื่อสามัญกะหล่ำดาว : Brussels Sprouts
กะหล่ำดาว จัดอยู่ในกลุ่มพืชเมืองหนาว อยู่ในตระกูลกะหล่ำ การเจริญเติบโตเป็นพืชสองฤดู ต้องการสภาพปลูกที่มีอุณหภูมิต่ำและความชื้นสูง ส่วนที่ใช้บริโภคคือ หัวขนาดเล็ก เข้าปลีแน่น คล้ายกะหล่ำปลี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-1.5 เซนติเมตรในยุโรป และ 2.4-4.8 เซนติเมตร ในสหรัฐอเมริกา เจริญจากข้อระหว่างต้นและกาบใบ และเจริญต่อเนื่องจนกระทั่งต้นชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นสูงแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ ลำต้นสูง 60-100 เซนติเมตร หรือสูงกว่า และพันธุ์ลำต้นเตี้ย 60 เซนติเมตร ให้ผลผลิตประมาณ 100 หัวต่อต้น กะหล่ำดาวสายพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวเร็ว จะให้ผลผลิตเร็ว และผลผลิตต่ำกว่ากะหล่ำดาวสายพันธุ์หนักที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนาน
สภาพดินและการเตรียมดิน กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) เจริญได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีอินทรียวัตถุและไนโตรเจนสูง ระบายน้ำได้ดี pH 6.0-6.8 การเตรียมดินควรหว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนเตรียมดิน ในบางพื้นที่เป็นดินเหนียวหรือดินลูกรัง ควรเจาะร่องปลูกและผสมวัสดุปลูกลงในร่องปลูก
การใส่ปุ๋ยเคมี กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ควรใส่ตามผลการวิเคราะห์ดินและพืช เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารสูง จึงจำเป็นต้องมีธาตุอาหารพอเพียง สำหรับการเจริญให้ผลผลิตและคุณภาพสูง
การเพาะเมล็ด กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) จำนวนเมล็ด 1 กรัมมีประมาณ 350 เมล็ด ทดสอบความงอกก่อนเพาะเมล็ด ก่อนเพาะเมล็ดควรแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 25-30 นาที นำออกมาผึ่งให้แห้ง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกของเมล็ด 20-30 องศาเซลเซียส หยอดเมล็ดในถาดเพาะ วัสดุเพาะ ดินร่วน + ปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยคอก + 12-24-12
การย้ายปลูก กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ย้ายปลูกหลังหยอดเมล็ด 15-20 วัน ระยะปลูก 30-50 x 75-100 เซนติเมตรขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
การดูแลรักษา กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ในแบ่งแห่งนิยมปลิดยอด เพื่อให้เก็บเกี่ยวเร็ว ขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตและคุณภาพสูง โดยปลิดเมื่อต้นเจริญเต็มที่และปลีข้างล่างมีขนาด 0.5-0.75 นิ้ว ในบางแห่งจะทยอยปลิดใบล่างออก เพื่อให้ได้รับแสงแดดและช่วยในการสร้างอาหาร
การให้น้ำ กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) กะหล่ำดาวเป็นพืชที่ต้องการน้ำสูง และระยะเวลาในการปลูก เก็บเกี่ยวนาน เพื่อให้ปลีขนาดใหญ่ ผลผลิตและคุณภาพสูง ควรให้ความชื้นพอเพียงและสม่ำเสมอ หรือ 1-1.5 นิ้วต่ออาทิตย์ หรือ 15-20 นิ้วต่อฤดูปลูก
การเก็บเกี่ยว กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) 80-100 วันหลังหยอดเมล็ด หรือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-4.0 เซนติเมตร หัวแน่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โดยเริ่มเก็บเกี่ยวจากโคนต้น
หลังจากเก็บเกี่ยวและปลิดใบล่าง ต้นเจริญสูงขึ้น ทำให้มีใบและปลีเพิ่มขึ้น การเด็ดยอดให้ปลีขนาดใหญ่และสม่ำเสมอ ผลผลิตประมาณ 1 กิโลกรัมต่อต้น หลังเก็บเกี่ยวควรลดอุณหภูมิเฉียบพลันลงถึง 2 องศาเซลเซียส ขนส่งโดยการใส่น้ำแข็งในภาชนะบรรจุ
การบรรจุในถุงพลาสติกที่ระบายอากาศได้ จะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำในพืช เนื่องจากกะหล่ำดาวมีอัตราการหายใจสูง นอกจากนี้การละสมคาร์บอนไดออกไซด์ในภาชนะบรรจุสูงกว่า 20% ทำให้มีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป คุณภาพต่ำ ไม่สามารถขายได้
การเก็บรักษา กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts)
เก็บรักษา 30 วัน ในอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95% อุณหภูมิสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส ปลีจะเหลืองภายในเวลา 1 อาทิตย์ การเก็บรักษานานจะทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีดำอัตราการเสื่อมของเนื้อเยื่อในอุณหภูมิ 4.4 องศาเซลเซียส จะสูงเป็นสองเท่าของอุณหภูมิ –1 องศาเซลเซียส
การเก็บรักษาในภาชนะบรรจุประกอบด้วย ออกซิเจน 2.5-5% และคาร์บอนไดออกไซด์ 5-7.5% เก็บรักษาในอุณหภูมิ 4.4 องศาเซลเซียส สามารถยืดอายุการเก็บรักษา 1 อาทิตย์
ประโยชน์ กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ปลี หรือ ตาข้าง ใช้กินเป็นผัก
คะน้าใบหยิก โปรตุเกส (Portuguese Kale)
คะน้าใบหยิก โอพี-สีเขียว (Blue Curled Scotch OP Kale)
คะน้าใบหยิก ไซบีเรี่ยน (Dwarf Siberian Improved Kale)
แรดิช เรดมีท (Red Meat Radish/Watermelon Radish)
คะน้าใบหยิกสีเขียว (Green Kale / Kale Winterbor F1)
คะน้าใบหยิกม่วง สกาเล็ท (Scarlet Kale)
คะน้าใบหยิก ไดโนซอร์ (Lacinato Kale)
เมล็ดพันธุ์ผักไทย-จีน (ซองละ 15 บ.)
1. กวางตุ้งใบ
2. กวางตุ้งดอก
3. กวางตุ้งฮ่องเต้
4. กระหล่ำปลีกลม
5. ตั้งโอ๋
6. ปวยเล้ง
7. คะน้ายอด
8. คะน้าฮ่องกง
9. คะน้าเห็ดหอม
10. ผักโขมเขียว
11. ผักโขมศรีสุข
12. ผักโขมแดง
13. ผักบุ้งจีน
14. ผักกาดขาวปลี
15. ผักกาดเขียว (ชุนฉ่าย)
เมล็ดผักไทย-จีน (พืชสมุนไพร, ผักทานราก) ซองละ 15 บ.
1. กะเพราแดง
2. โหระพา
3. คึ่นฉ่าย
4. ผักชีไทย
5. ผักชีฝรั่ง
6. ต้นหอม
7. สาระแหน่
เมล็ดผัก,ผลไม้ ไทย-จีน (พืชทานผล) ซองละ 15 บ.
1. มะเขือยาวเขียว
2. มะเขือยาวม่วง
3. มะเขือเทศลูกท้อ
4. มะระจีน
5. มะเขือเปราะเจ้าพระยา
6. ถั่วฝักยาวเนื้อ
7. ถั่วพู
8. พริกขี้หนูสวน

2. ทางเซนฯ แจ้งยอดชำระ (พร้อมวิธีจัดส่งให้ลูกค้าเลือก)
3. ลูกค้าเลือกวิธีการจัดส่ง พร้อมโอนเงินชำระค่าสินค้า+ค่าจัดส่ง
ธนาคารสำหรับชำระค่าสินค้า
ธนาคารกสิกรไทย สาขา กาดฝรั่ง (เชียงใหม่) ชื่อบัญชี นาย เอกชัย นำเจริญ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 500-2-08020-8 |
4. ลูกค้าแจ้งการรายละเอียดการชำระเงิน และชื่อ-ที่อยู่ในการจัดส่งสินค้าที่
ข้อมูลที่ลูกค้าต้องแจ้งหลังจากโอนเงินชำระค่าสินค้าและค่าจัดส่ง
- โอนเข้าธนาคาร ......................................................
- วันที่โอน...................................................................
- เวลาที่โอน ...............................................................
- ยอดเงินที่โอน ..........................................................
- ชื่อ,สกุลผู้รับสินค้า ....................................................
- ที่อยู่ในการจัดส่งสินค้า .............................................
- เบอร์โทรลูกค้า ..........................................................
5. หลังจากรับแจ้งการโอนเงินจากลูกค้า ทางเซนฯ จะตรวจสอบหลักฐานการโอนเงินเรียบร้อย
จึงทำการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า และแจ้งการจัดส่งให้ลูกค้าทราบอีกครั้งหนึ่ง
เงื่อนไข
* กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการกรุณาแจ้งให้ทางเซนฯ ทราบก่อนทำการโอนเงิน เพื่อให้ทางเซนฯ คำนวณยอดสินค้าและค่าจัดส่งให้ลูกค้าทราบใม่อีกครั้ง
* ก่อนทำการโอนเงินลูกค้าทำการตรวจสอบรายการสินค้าหรือยอดรวมเงินก่อนทุกครั้ง หากรายการสินค้าไม่ครบถ้วนหรือยอดรวมเงินผิดพลาด ให้ลูกค้าโต้แย้งเพื่อให้ทางเซนฯ ทำการรวมยอดใหม่อีกครั้ง
* ทางเซนฯ จะทำการจัดส่งสินค้าทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ โดยตัดรอบส่งประจำวันเวลา 10.00 น. ทางเซนฯยกเว้นส่งสินค้าใน วันเสาร์, อาทิตย์ และวันหยุดทำการไปรษณีย์
* การแจ้งรหัสติดตามสินค้า จะแจ้งให้ลูกค้าทราบหลังเวลา 16.00 น. เป็นต้นไป หากลูกค้ายังไม่ได้รับแจ้งหมายเลขการจัดส่งสินค้าในวันนัดส่งหลังเวลา 16.00 น. ให้สอบถามหรือติดต่อเข้ามาสอบถามได้
* ลูกค้าเมื่อโอนเงินชำระค่าสินค้าและค่าจัดส่งแล้วรบกวนแจ้งข้อมูลการโอน, ชื่อ, ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่ใช้ในการจัดส่ง มาให้ทราบด้วยเพื่อประโยชน์แก่ตัวลูกค้าเอง และเพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบและจัดส่งสินค้า
* การจัดส่ง EMS ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่ http://track.thailandpost.co.th
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 2 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า
* การจัดส่ง ลงทะเบียน ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่ http://track.thailandpost.co.th
หรือตรวจสอบได้ที่เคาน์เตอร์ไปรษณีย์นำจ่ายปลายทางของผู้รับสินค้า
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 5 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า
* การจัดส่ง ธรรมดา ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ที่สายด่วนไปรษณีย์ 1545 หรือตรวจสอบได้ที่เคาน์เตอร์ไปรษณีย์นำจ่ายปลายทางของผู้รับสินค้า
ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 7 วันทำการไปรษณีย์ ไม่นับรวมวันจัดส่งสินค้า